วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตัวอย่างภาษาคอมพิวเตอร์


ภาษาคอมพิวเตอร์


         ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ”ภาษาประดิษฐ์” (Artificial Language) ที่มนุษย์คิดสร้างมาเอง เป็นภาษาที่มีจุดมุ่งหมายเฉพาะ มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวและจำกัด คืออยู่ในกรอบให้ใช้คำและไวยากรณ์ที่กำหนดและมีการตีความหมายที่ชัดเจน จึงจัดภาษาคอมพิวเตอร์เป็นภาษาที่มีรูปแบบเป็นทางการ (Formal Language) ต่างกับภาษาธรรมชาติที่มีขอบเขตกว้างมาก ไม่มีรูปแบบตายตัวที่แน่นอน กฎเกณฑ์ของภาษาจะขึ้นกับหลักไวยากรณ์และการยอมรับของกลุ่มผู้ใช้นั้น ๆ

         ภาษา คอมพิวเตอร์อาจแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ ภาษาเครื่อง (Machine Language) ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language) และภาษาระดับสูง (High Level Language)

1 ภาษาเครื่อง (Machine Language)

         การเขียนโปรแกรมเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานในยุคแรก ๆ จะต้องเขียนด้วยภาษาซึ่งเป็นที่ยอมรับของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า “ภาษาเครื่อง” ภาษานี้ประกอบด้วยตัวเลขล้วน ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ทันที ผู้ที่จะเขียนโปรแกรมภาษาเครื่องได้ ต้องสามารถจำรหัสแทนคำสั่งต่าง ๆ ได้ และในการคำนวณต้องสามารถจำได้ว่าจำนวนต่าง ๆ ที่ใช้ในการคำนวณนั้นถูกเก็บไว้ที่ตำแหน่งใด ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมจึงมีมาก นอกจากนี้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละระบบมีภาษาเครื่องที่แตกต่างกันออก ทำให้เกิดความไม่สะดวกเมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะจะต้องเขียน โปรแกรมใหม่ทั้งหมด

       

2 ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)

         เนื่องจากภาษาเครื่องเป็นภาษาที่มีความยุ่งยากในการเขียนดังได้กล่าวมาแล้ว จึงไม่มีผู้นิยมและมีการใช้น้อย ดังนั้นได้มีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ขึ้นอีกระดับหนึ่ง โดยการใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นรหัสแทนการทำงาน การใช้และการตั้งชื่อตัวแปรแทนตำแหน่งที่ใช้เก็บจำนวนต่าง ๆ ซึ่งเป็นค่าของตัวแปรนั้น ๆ การใช้สัญลักษณ์ช่วยให้การเขียนโปรแกรมนี้เรียกว่า “ภาษาระดับต่ำ”ภาษาระดับต่าเป็นภาษาที่มีความหมายใกล้เคียงกับภาษาเครื่อง มากบางครั้งจึงเรียกภาษานี้ว่า “ภาษาอิงเครื่อง” (Machine – Oriented Language) ตัวอย่างของภาษาระดับต่ำ ได้แก่ ภาษาแอสเซมบลี เป็นภาษาที่ใช้คำในอักษรภาษาอังกฤษเป็นคำสั่งให้เครื่องทำงาน เช่น ADD หมายถึง บวก SUB หมายถึง ลบ เป็นต้น การใช้คำเหล่านี้ช่วยให้การเขียนโปรแกรมง่ายขึ้นกว่าการใช้ภาษาเครื่องซึ่ง เป็นตัวเลขล้วน ดังตารางแสดงตัวอย่างของภาษาระดับต่ำและภาษาเครื่องที่สั่งให้มีการบวกจำนวน ที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำ



ตารางที่ 5.1 แสดงความสัมพันธ์ของคำสั่งในภาษาระดับต่ำและภาษาเครื่อง
ภาษาระดับต่ำ ภาษาเครื่อง รหัสเลขฐานสิบหก
MOV AL,05 10110000 00000101 B0 05
MOV BL,08 10110011 00001000 B3 08
ADD AL,BL 00000000 11011000 00 D8
MOV CL,AL 10001000 11000001 88 C1
         จาก ตารางบรรทัดแรก 10110000 00000101 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 5 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00000101) ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ AL โดยส่วนแรก 10110000 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ AL
         บรรทัดที่ สอง 10110011 00001000 เป็นคำสั่งให้นำจำนวน 8 (หรือเขียนในรูปของเลขฐานสองเป็น 00001000) ไปเก็บในรีจิสเตอร์ชื่อ BL โดยส่วนแรก 10110011 คือรหัสคำสั่ง MOV ซึ่งเป็นการเคลื่อนย้ายข้อมูลจำนวนมาเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ BL
         บรรทัดที่สาม เป็นคำสั่งการบวกระหว่างรีจิสเตอร์ AL กับ BL หรือนำ 5 บวก 8 ผลลัพธ์เก็บในรีจิสเตอร์ AL
         บรรทัดที่สี่ เป็นการนำผลลัพธ์จากรีจิสเตอร์ชื่อ AL ไปเก็บไว้ในรีจิสเตอร์ชื่อ CL
การ ใช้โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาแอสเซมบลีนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานได้ทันที จำเป็นต้องมีการแปลโปรแกรมในการแปลที่มีชื่อว่า “แอสเซมเบลอร์” (Assembler) ซึ่งแตกต่างไปตามเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละชนิด ดังนั้นแอสเซมเบลอร์ของเครื่องชนิดหนึ่งจะไม่สามารถใช้แปลโปรแกรมภาษาแอสเซ มบลีของเครื่องชนิดอื่น ๆ ได้ภาษาแอสเซมบลีนี้ยังคงใช้ยาก เพราะผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเข้าใจในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่าง ละเอียด ต้องรู้ว่าจำนวนที่จะนำมาคำนวณนั้นอยู่ ณ ตำแหน่งใดในหน่วยความจำในทำนองเดียวกับการเขียนโปรแกรมเป็นภาษาเครื่อง ภาษาแอสเซมบลีจึงมีผู้ใช้น้อย และมักจะใช้ในกรณีที่ต้องการควบคุมการทำงานภายในของตัวเครื่องคอมพิวเตอร์

3 ภาษาระดับสูง (High Level Language)


         ภาษาระดับสูงเป็นภาษาที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเขียนโปรแกรม กล่าวคือลักษณะของคำสั่งจะประกอบด้วยคำต่าง ๆ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ทันที ผู้เขียนโปรแกรมจึงเขียนโปรแกรมด้วยภาษาระดับสูงได้ง่ายกว่าเขียนด้วยภาษาแอ สเซมบลีหรือภาษาเครื่อง ภาษาระดับสูงมีมากมายหลายภาษา อาทิเช่น ภาษาฟอร์แทรน (FORTRAN) ภาษาโคบอล (COBOL) ภาษาปาสคาล (Pascal) ภาษาเบสิก(BASIC) ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic) ภาษาซี (C) และภาษาจาวา (Java) เป็นต้น โปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูงแต่ละภาษาจะต้องมีโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปล ภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง เช่น โปรแกรมแปลภาษาฟอร์แทรนเป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมแปลภาษาปาสคาลเป็นภาษาเครื่อง คำสั่งหนึ่งคำสั่งในภาษาระดับสูงจะถูกแปลเป็นภาษาเครื่องหลายคำสั่ง


ตัวอย่างภาษาระดับสูง

ภาษาจาวา (Java)

         พัฒนา ขึ้นในปี พ.ศ. 2534 โดยบริษัทซันไมโครซิสเตมส์ เป็นภาษาที่ได้รับความนิยมสูงมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นภาษาที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถเขียนโปรแกรมและใช้งานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกประเภทและระบบ ปฏิบัติการทุกรูปแบบ ในช่วงแรกที่เริ่มมีการนำภาษาจาวามาใช้งานจะเป็นการใช้งานบนเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต เป็นภาษาที่เน้นการทำงานบนเว็บ แต่ปัจจุบันสามารถสามารถนำมาประยุกต์สร้างโปรแกรมใช้งานทั่วไปได้
         นอก จากนี้ เมื่อเทคโนโลยีของการสื่อสารก้าวหน้าขึ้น จนกระทั่งเครื่องคอมพิวเตอร์ปาล์มท็อป หรือ แม้แต่โทรศัพท์เคลื่อนที่สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตและใช้งาน ระบบเวิลด์ไวด์เว็บได้ ภาษาจาวาก็สามารถสร้างส่วนที่เรียกว่า “แอปเพล็ต” (Applet) ให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่กล่าวข้างต้น เรียกใช้งานจากเครื่องที่เป็นแม่ข่าย (Server) ได้



 ภาษาซีและซีพลัสพลัส (C และ C++)

         ภาษา ซีเป็นภาษาที่พัฒนาจากห้องปฏิบัติการเบลล์ของบริษัทเอทีแอนด์ทีในปี พ.ศ. 2515 หลังจากที่พัฒนาขึ้นได้ไม่นาน ภาษาซีก็กลายเป็นภาษาที่นิยมในหมู่นักเขียนโปรแกรมมาก และมีใช้งานในเครื่องทุกระดับ ทั้งนี้เนื่องจากภาษาซีได้รวมเอาข้อมูลของภาษาระดับสูงและภาษาระดับต่ำเข้า ไว้ด้วยกัน กล่าวคือเป็นภาษาที่มีไวยากรณ์ที่เข้าใจง่าย ทำให้เขียนโปรแกรมได้ง่ายเช่นเดียวกับภาษาระดับสูงทั่วไป แต่ประสิทธิภาพและความเร็วในการทำงานดีกว่ามาก เนื่องจากมีการทำงานเหมือนภาษาระดับต่ำ สามารถทำงานได้ในระดับที่เป็นการควบคุมฮาร์ดแวร์ได้มากกว่าภาษาระดับสูงอื่น ๆ ดังจะเห็นว่าภาษาซีเป็นภาษาที่สามารถพัฒนาระบบปฏิบัติการได้ เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์
         นอก จากนี้เมื่อแนวคิดของการเขียนโปรแกรมแบบเชิงวัตถุ (Object Oriented Programming : OOP) ได้เข้ามามีบทบาทในวงการคอมพิวเตอร์มากขึ้น ภาษาซีก็ยังได้รับการพัฒนาโดยประยุกต์ใช้กับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว เกิดเป็นภาษาใหม่ชื่อว่า “ภาษาซีพลัสพลัส” (C++)




ภาษาโคบอล (Common Business Oriented Language : COBOL)

         เป็นภาษาที่พัฒนาขึ้นในราว พ.ศ. 2502 ต่อมาได้รับการปรับปรุงจากคณะกรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของหน่วยงานธุรกิจและ รัฐบาลของสหรัฐอเมริกา เป็นภาษาโคบอลมาตรฐานในปี พ.ศ. 2517 เป็นภาษาที่เหมาะสมสำหรับงานด้านธุรกิจ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ส่วนมากมีโปรแกรมแปลภาษาโคบอล
3) ภาษาเบสิก (Beginner’s All – purpose Symbolic Instruction Code : BASIC)
เป็น ภาษาที่ได้รับการคิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่วิทยาลัยดาร์ทมัธ (Dartmouth College) และเผยแพร่เป็นทางการในปี พ.ศ. 2508ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้สอนเพื่อใช้สอน เขียนโปรแกรมแทนภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาอื่น เช่น ภาษาฟอร์แทรน ซึ่งมีขนาดใหญ่และต้องใช้หน่วยความจำสูงในการทำงาน ซึ่งไม่เหมาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ในสมัยนั้น ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่มีขนาดเล็ก เป็นตัวแปลภาษาชนิดที่เรียกว่าอินเทอร์พรีเตอร์
         นอก จากนี้ ภาษาเบสิกเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเขียน ซึ่งผู้เขียนจะสามารถนำไปประยุกต์กับการแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ทุกสาขาวิชา ผู้ที่เพิ่งฝึกเขียนโปรแกรมใหม่ ๆ หรือผู้ที่ไม่ใช่นักเขียนโปรแกรมมืออาชีพ แต่เป็นเพียงวิศวกรหรือนักวิจัย จะสามารถหัดเขียนโปรแกรมภาษาเบสิกได้ในเวลาไม่นานนัก ปกติภาษาเบสิกส่วนใหญ่ใช้กับไมโครคอมพิวเตอร์






ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic)

         เป็น ภาษาที่พัฒนาต่อมาจากภาษาเบสิก ใช้ไวยากรณ์บางส่วนของภาษาเบสิกในการเขียนโปรแกรม แต่มีแนวคิดและวิธีการพัฒนาโปรแกรมที่แตกต่างจากภาษาเบสิกโดยสิ้นเชิง รวมทั้งการใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำก็แตกต่างกันมาก ทั้งนี้เนื่องจากภาษาวิชวลเบสิกใช้แนวคิดที่ต่างออกไป






ภาษาฟอร์แทรน (FORmula TRANstation : FORTRAN)

         จัดเป็นภาษาระดับสูงที่เก่าแก่ที่สุด ได้รับการคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรก ราว พ.ศ. 2497 โดยบริษัท ไอบีเอ็ม เป็นภาษาที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการการคำนวณ เช่น งานทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และงานวิจัยต่าง ๆ เนื่องจากแนวคิดในการเขียนโปรแกรมในระยะหลังนี้เปลี่ยนมานิยมการเขียน โปรแกรมแบบโครงสร้างมากขึ้น ลักษณะของคำสั่งภาษาฟอร์แทรนแบบเดิมไม่เอื้ออำนวยที่จะให้เขียนได้ จึงมีการปรับปรุงโครงสร้างของภาษาฟอร์แทรนให้สามารถเขียนโปรแกรมแบบโครง สร้างขึ้นมาได้ในปี พ.ศ. 2509 เรียกว่า FORTRAN 66 และในปี พ.ศ. 2520 สถาบันมาตรฐานแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (American National Standard Institute หรือ ANSI) ได้ปรับปรุง FORTRAN 66 และยอมรับให้เป็นภาษาฟอร์แทรนที่เป็นมาตรฐาน เรียกว่า FORTRAN 77 ใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีตัวแปลภาษานี้


       
อ้างอิง https://sites.google.com/site/programcomputer56/home/phasa-khxmphiwtexr

โปรแกรม ระบบสารสนเทศ เพื่อ สนับสนุนการตัดสินใจ

ตัวอย่างโปรแกรมป้องกันน้ำท่วม




โครงสร้างของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม (DSS)


         1. ตรวจวัดอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ (AWS)

         2. การสื่อสารเพื่อรวบรวมข้อมูล ผลการตรวจอากาศและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการคาดหมาย แบ่ง                  ย่อยเป็นตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

                  2.1 ผลการตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ (AWS) ส่งผ่านระบบ GPRS ไปยัง                             คอมพิวเตอร์หลัก (Web Server) โดยที่การตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติจะ                         ทำการรายงานทุกๆ 5 นาที

                  2.2 การวิเคราะห์ผลการตรวจอากาศที่ได้จากขั้นตอนแรกโดยการกำหนดค่าวิกฤตของ                                   พารามิเตอร์ทางอุตุนิยมวิทยาแต่ละตัว เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงของพารามิเตอร์ทาง                           อุตุนิยมวิทยา และแสดงเสถียรภาพของบรรยากาศเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดฝน                                     ตกหนัก

                  2.3 การคาดหมายการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนที่ของตัวระบบลมฟ้าอากาศที่วิเคราะห์ได้                         ในขั้นตอนที่สอง โดยใช้วิธีทฤษฎีโครงข่ายใยประสาทเทียม (ANN) เป็นเครื่องมือในการ                         พยากรณ์อากาศ

                 2.4 การออกคำพยากรณ์ช่วงเวลาและบริเวณที่ต้องการ โดยพิจารณาจากตำแหน่งและความ                          รุนแรงของระบบลมฟ้าอากาศที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว

         3. การส่งคำพยากรณ์อากาศไปยังสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ต่อไปสู่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย และส่ง              ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไปตามความเหมาะสม เช่น การป้องกัน และ                        บรรเทาภัยพิบัติ



ลักษณะการทำงานของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม (DSS) ในประเทศไทย


         ผลการตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติส่งผ่านระบบ GPRS       ไปยังคอมพิวเตอร์หลัก (Web Server) ที่กรุงเทพฯในชื่อว่า weather.nakhonthai.net มีการแสดงผลลัพธ์เป็นทั้งตัวเลข ณ เวลาล่าสุด และเป็นรูปแบบกราฟเส้นในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง 72 ชั่วโมงโดยที่การตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติจะทำการรายงานทุกๆ 5 นาที มีการดึงข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Downloader จากเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 แหล่งข้อมูล ได้แก่ ดึงข้อมูลผลการตรวจอากาศผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากhttp://weather.nakhonthai.net/data ดึงข้อมูลดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากhttp://metocph.nmci.navy.mil/sat/gms_nwtrop/ir/ และดึงข้อมูลเวอร์ทิซิตี้ที่ระดับ 500 เฮกโตปาสคาล ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากระบบพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลขผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากhttp://www.marine.tmd.go.th/html/rjtd-vorticity/ ข้อมูลต่างๆ ก็จะมาอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในโฟลเดอร์ที่กำหนด หลังจากนั้นในทุกๆ เช้าก็จะมีการใช้โปรแกรม GenDSS ในการจัดเตรียมฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และแสดงผลโดยจะทำการเตรียมฐานข้อมูลแบบ Last day สำหรับข้อมูลในอดีตในส่วนข้อมูลปัจจุบันจะใช้ป้าย Today เพื่อป้อนให้กับโปรแกรม DSS ในการประมวลผลต่อไป



รูป: โปรแกรมระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม

โปรแกรม ระบบสารสนเทศ เพื่อ สนับสนุนการตัดสินใจ

ตัวอย่างโปรแกรมป้องกันน้ำท่วม




โครงสร้างของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม (DSS)


1. ตรวจวัดอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ (AWS)


2. การสื่อสารเพื่อรวบรวมข้อมูล ผลการตรวจอากาศและวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อการคาดหมาย แบ่ง ย่อยเป็นตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

2.1 ผลการตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติ (AWS) ส่งผ่านระบบ GPRS ไปยัง คอมพิวเตอร์หลัก (Web Server) โดยที่การตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติจะ ทำการรายงานทุกๆ 5 นาที

2.2 การวิเคราะห์ผลการตรวจอากาศที่ได้จากขั้นตอนแรกโดยการกำหนดค่าวิกฤตของ พารามิเตอร์ ทางอุตุนิยมวิทยาแต่ละตัว เพื่อแสดงการเปลี่ยนแปลงของพารามิเตอร์ทาง อุตุนิยมวิทยา และ แสดงเสถียรภาพของบรรยากาศเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดฝน ตกหนัก

2.3 การคาดหมายการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนที่ของตัวระบบลมฟ้าอากาศที่วิเคราะห์ได้ ในขั้น ตอนที่สอง โดยใช้วิธีทฤษฎีโครงข่ายใยประสาทเทียม (ANN) เป็นเครื่องมือในการ พยากรณ์ อากาศ

2.4 การออกคำพยากรณ์ช่วงเวลาและบริเวณที่ต้องการ โดยพิจารณาจากตำแหน่งและความ รุนแรง ของระบบลมฟ้าอากาศที่ได้ดำเนินการไว้แล้ว


3. การส่งคำพยากรณ์อากาศไปยังสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ต่อไปสู่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย และส่ง ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไปตามความเหมาะสม เช่น การป้องกัน และ บรรเทาภัยพิบัติ



ลักษณะการทำงานของระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม (DSS) ในประเทศไทย


         ผลการตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติส่งผ่านระบบ GPRS       ไปยังคอมพิวเตอร์หลัก (Web Server) ที่กรุงเทพฯในชื่อว่า weather.nakhonthai.net มีการแสดงผลลัพธ์เป็นทั้งตัวเลข ณ เวลาล่าสุด และเป็นรูปแบบกราฟเส้นในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง 72 ชั่วโมงโดยที่การตรวจอากาศจากสถานีตรวจอากาศอัตโนมัติจะทำการรายงานทุกๆ 5 นาที มีการดึงข้อมูลโดยใช้โปรแกรม Downloader จากเครื่องคอมพิวเตอร์ 3 แหล่งข้อมูล ได้แก่ ดึงข้อมูลผลการตรวจอากาศผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากhttp://weather.nakhonthai.net/data ดึงข้อมูลดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากhttp://metocph.nmci.navy.mil/sat/gms_nwtrop/ir/ และดึงข้อมูลเวอร์ทิซิตี้ที่ระดับ 500 เฮกโตปาสคาล ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากระบบพยากรณ์อากาศเชิงตัวเลขผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจากhttp://www.marine.tmd.go.th/html/rjtd-vorticity/ ข้อมูลต่างๆ ก็จะมาอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในโฟลเดอร์ที่กำหนด หลังจากนั้นในทุกๆ เช้าก็จะมีการใช้โปรแกรม GenDSS ในการจัดเตรียมฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์และแสดงผลโดยจะทำการเตรียมฐานข้อมูลแบบ Last day สำหรับข้อมูลในอดีตในส่วนข้อมูลปัจจุบันจะใช้ป้าย Today เพื่อป้อนให้กับโปรแกรม DSS ในการประมวลผลต่อไป



รูป: โปรแกรมระบบสนับสนุนการตัดสินใจเตือนภัยน้ำท่วม

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ตัวอย่างโครงงาน


ตัวอย่างโครงงาน



1.เทียนกะลา

ชื่อบล็อก http://candlecocoshell.blogspot.com/





2.ตุ๊กตาและดอกไม้จากเปลือกข้าวโพด

ชื่อบล็อก http://corndoll.blogspot.com/

ตุ๊กตาจากเปลือกข้าวโพด
ดอกไม้จากเปลือกข้าวโพด

3.EM Ball

ชื่อบล็อก http://emballnight.blogspot.com/


ขั้นตอน

วัสดุ







วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ใบงานที่4


ใบงานที่ 5




ความหมายของโครงงาน


โครงงาน (Project Approach) คือ กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้ทำการศึกษาค้นคว้าและฝึกปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่นๆ ไปใช้ในการศึกษาหาคำตอบ โดยมีครูผู้สอนคอยกระตุ้นแนะนำและให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่การเลือกหัวข้อที่จะศึกษา ค้นคว้า ดำเนินงานตามแผน กำหนดขั้นตอนการดำเนินงานและการนำเสนอผลงาน ซึ่งอาจทำเป็นบุคคลหรือเป็นกลุ่ม

โครงงาน คือ การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือหลายๆสิ่งที่อยากรู้คำตอบให้ลึกซึ้ง
หรือเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆให้มากขึ้น โดยใช้กระบวนการ วิธีการที่ศึกษาอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอน
มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียด ปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ จนได้ข้อสรุปหรือผลสรุปที่เป็นคำตอบในเรื่องนั้นๆ



โครงงานคอมหมายถึงอะไร


โครงงานคอมพิวเตอร์ หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข



โครงงานคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภทอะไรบ้าง


ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)


ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์


1. คัดเลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
2. ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
3. จัดทำเค้าโครงของโครงงาน
4. การลงมือทำโครงงาน
5. การเขียนรายงาน
6. การนำเสนอและแสดงโครงงาน


ข้อมูล

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 3

ใบงาน 3 บริการบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต




1. เวิลด์ไวด์เว็บ (WWW)



เวิลด์ไวด์เว็บ(www.) หรือเครือข่ายใยแมงมุม เหตุที่เรียกชื่อนี้เพราะว่าเป็นลักษณะของการเชื่อมโยงข้อมูล จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเรื่อยๆ เวิลด์ไวด์เว็บ เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ในการเรียกดูเว็บไซต์ต้องอาศัยโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (web browser) ในการดูข้อมูล เว็บเบราว์เซอร์ที่ได้รับความนิยมใช้ในปัจจุบัน เช่น โปรแกรม Internet Explorer (IE) , Netscape Navigator


2. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail)





การติดต่อสื่อสารโดยใช้อีเมลสามารถทำได้โดยสะดวก และประหยัดเวลา หลักการทำงานของอีเมลก็คล้ายกับการส่งจดหมายธรรมดา นั้นคือ จะต้องมีที่อยู่ที่ระบุชัดเจน ก็คือ อีเมลแอดเดรส (E-mail address)

องค์ประกอบของ e-mail address
1. ชื่อผู้ใช้ (User name)
2. ชื่อโดเมน

Username@domain_name


การใช้งานอีเมล สามารถแบ่งได้ดังนี้ คือ

1. Corporate e-mail คือ อีเมล ที่หน่วยงานต่างๆสร้างขึ้นให้กับพนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น เช่น u47202000@dusit.ac.th คือ e-mail ของนักศึกษาของสถาบันราชภัฏสวนดุสิต เป็นต้น

2. Free e-mail คือ อีเมล ที่สามารถสมัครได้ฟรีตาม web mail ต่างๆ เช่น Hotmail, Yahoo Mail, Thai Mail และ Chaiyo Mail


3. บริการกระดานข่าวหรือ เวบบอร์ด (Web board)




เว็บบอร์ด เป็นศูนย์กลางในการแสดงความคิดเห็น มีการตั้งกระทู้ ถาม-ตอบ ในหัวข้อที่สนใจ เว็บบอร์ดของไทยที่เป็นที่นิยมและมีคนเข้าไปแสดงความคิดเห็นมากมาย คือ เว็บบอร์ดของพันธ์ทิพย์ (www.pantip.com)


\


ที่มา

ขอขอบคุณ

นางสาวจิรประภา ยอดเพ็ชร

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ใบงานที่ 2 การใช้งาน Web Browser



วิธีการใช้งานเบื้องต้น Google Chrome



คีย์ลัดที่จะช่วยให้เราใช้งาน Google Chrome

Ctrl + N : ใช้สำหรับ เปิดหน้าต่าง Google Chrome เพิ่มอีกหนึ่งอัน (Open New Window)
Ctrl + T : ใช้สำหรับ เปิด Tab ใหม่ ในหน้าต่างเดิม (Open New Tab)
Ctrl + Shift + N : เปิด หน้าต่าง Google Chrome เพิ่ม ในโหมด Incognito
Ctrl + Shift + T : เปิด Tab ที่เคยปิดไปล่าสุด สูงสุด 10 Tab
ALT + F หรือ ALT + E : เปิดเมนูบาร์ Google Chrome
Ctrl + Shift + B : เปิด / ปิด แถบ Bookmark
Ctrl + H : เปิดดู History
Ctrl + J : เปิดดูรายการดาวน์โหลด
Shift + ESC : เปิด Google Chrome Task Manager เพื่อดูว่าหน้าไหนที่ทำให้ระบบช้า และเลือกปิดได้


การเปลี่ยนไอคอน Google Chrome เป็น สีทอง

คลิกขวาที่ Icon Google Chrome แล้วเลือก Property หลังจากนั้นให้เลือก Change Icon ก็จะเห็น Icon ของ Google Chrome ที่เป็นสีทองมาให้เลือก




แถบ Bookmark

ใช้คีย์ลัดที่เพิ่งได้อ่านผ่านมาก่อนหน้า (Ctrl + Shift + B เพื่อเปิดแถบ Bookmark) หลังจากนั้น หากเรามี Bookmark ไว้อยู่แล้ว ให้ทำการคลิกขวาที่ Bookmark ที่เราต้องการจะลบข้อความออก แล้วเลือก Edit เมื่อกดแล้วเราจะเห็นหน้าต่างใหม่เพิ่มขึ้นมา โดยจะมีช่อง Name อยู่ ให้ทำการลบข้อความที่อยู่ในช่อง Name ออกให้หมด แล้วกด Save เพียงเท่านี้ แถบ Bookmark ดังกล่าว ก็จะเหลือแค่ Icon อย่างเดียว





ตั้งค่าหน้า Home

เมื่อเปิดบราวเซอร์ขึ้นมาได้แค่เพียงเว็บไซต์เดียว แต่ถ้าหากเรามีหน้าเว็บที่อยากตั้งเป็นหน้า Home
มากกว่าหนึ่งล่ะ Google Chrome ช่วยคุณได้ ซึ่ง บน Google Chrome นั้นสามารถเพิ่มหน้า Home ได้มากกว่าหนึ่งหน้า ซึ่งเมื่อคุณเปิด บราวเซอร์ขึ้นมา ทุกเว็บที่คุณได้ต้ังค่าเอาไว้ จะถูกเปิดมาพร้อมๆกันในครั้งเดียว (แยก Tab) ซึ่งวิธีทำก็ไม่ยากเลยครับ เพียงแค่เราไปที่เมนู แล้วเลือก Setting หลังจากนั้นให้คลิกเลือกที่ Open a specific page or set of pages และเลือก Setpage ซึ่งในหน้า Setpage นี่เอง ที่เราสามารถเพิ่มเว็บไซต์ต่างๆได้ตามใจชอบ 





ความคุม Google Chrome

Google Chrome นั้นยังมีหน้าพิเศษ ที่ให้เราสามารถเปิดปิด ความสามารถของ Google Chrome ได้อีกด้วย ซึ่งหากเราลองพิมคำว่า chrome://flags/ ลงไปในช่อง Address ตัวบราวเซอร์เอง ก็จะพามายังหน้า ที่ให้คุณเลือก เปิดปิดฟังก์ชั่นต่างๆได้ตามใจชอบ แต่การเปิดปิด ฟังก์ชั่นต่างๆนั้นอาจจะต้องระวังกันสักนิดนึงนะครับเพราะอาจจะทำให้การเข้าเว็บไซต์ได้ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมนั่นเอง หรือจะลองพิมคำว่า chrome://memory เพื่อดูการใช้งาน Memory ของเครื่อง ว่าใช้ไปมากน้อยแค่ไหน และ chrome://about ในหน้านี้ จะรวมคำสั่งและคีย์ลัดต่างๆเพิ่มเติมอีกมากมาย





สร้าง Account ใหม่ สำหรับผู้ใช้งาน Google Chrome

หากคุณใช้งาน Google Chrome ร่วมกับคนอื่น อาจจะเจอปัญหาในเรื่องของ History ปนกับคนอื่น Bookmark หรือ แม้แต่พาสเวิร์ดที่เคยกรอกบนเว็บไซต์ต่างๆ แต่บน Google Chrome คุณสามารถแยก Account การใช้งานได้ โดยข้อมูลต่างๆจะถูกเก็บที่ Account นั้นๆ นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง User หรือ สลับการใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย เพียงแค่กด Ctrl + Shift + M ก็จะพบกับหน้าต่างสำหรับสลับ User หรือ สร้าง User ใหม่ทันที




ที่มา


วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559


ใบงานที่ 1 เรื่อง Internet & Web Browser



1.อินเตอร์เน็ต คือ ...?





หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลาย ๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลาย ๆ ทาง อาทิ อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้



2.Web Browser หมายถึงอะไร ?







เว็บเบราว์เซอร์ (web browser) เบราว์เซอร์ หรือ โปรแกรมดูเว็บ คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล (html) ที่จัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์ หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ



3. ตัวอย่าง Web Browser จำนวน 5 โปรแกรม พร้อมรูปประกอบ + ข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม



Internet explorer (IE)

ข้อดี

- เป็นบราวเซอร์ที่คนใช้งานมากที่สุดในโลกรองรับการเปิดเว็บไซต์ได้ทุกเว็บไซต์ เมื่อเกิดปัญหาเกิด          สามารถแก้ไขได้ง่าย
- เว็บไซต์เกมทุกเว็บหรือโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆรองรับโค้ดของ IE

ข้อจำกัด

- IE เปิดหลายๆ แท็บมักจะเกิดอาการค้าง ไม่ทำงาน
- ช้าที่สุด เมื่อเทียบกับบราวเซอร์อื่นๆ
- ใช้หน่วยความจำคอมพิวเตอร์มากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เครื่องช้าไปด้วย




Firefox

ข้อดี

- เร็วที่สุดในบรรดาเบราเซอร์ทุกตัวในที่นี้
- เต็มไปด้วยอุปกรณ์เสริม ( add-ons )
- มีลูกเล่นเยอะ
- มีตัวดาวน์โหลดอยู่ในตัว
- มีการอัพเดทอยู่เรื่อย ๆ
- ถ้าโดนบุกรุกจากสปายแวร์ ไวรัส หากใช้เบราเซอร์ FireFox จะไม่ค่อยเจอปัญหา (เกือบ 100%) ด้วย       ระบบการรักษาความปลอดภัยและระบบการอัพเดตอยู่ตลอดจะช่วยแก้ปัญหาได้ อย่างทันท่วงที
ข้อจำกัด

- Google สนับสนุนน้อยลงเนื่องจาก หันไปพัฒนา Chrome แทน
- ผู้ใช้ทั่วโลกยังน้อย เมื่อเทียบกับ IE เพราะ IE ติดมากับวินโดว์อยู่แล้ว
- เว็บไซต์ส่วนใหญ่ทำด้วย IE แสดงผลใน Firefox ไม่ได้ หรือถ้าแสดงได้ ก็อาจไม่สมบูรณ์
- ไม่สามารถเข้าไปยังเว้บไซต์ของสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้
- เนื่องจากลูกเล่นเยอะ ก็มีข้อดีและข้อเสียในตัวคือลูกเล่นเยอะ เปิดแท็บได้เยอะ กินแรมมาก



Google Chrome

ข้อดี

- พื้นที่หน้าจอใหญ่ที่สุดและใช้เนื้อที่คุ้มค่าที่สุด
- เร็วกว่า IE และเร็วพอ ๆ กับ Firefox
- มีแถบสำหรับการค้นหาที่รวดเร็ว
- ขนาดไฟล์น้อย ไม่หนักเครื่อง
- หน้าต่างดาวน์โหลดอยู่แถบด้านล่าง ไม่เกะกะเหมือน IE และ Firefox ที่เด้งออกมาเป็นอีกหน้าต่าง
- ดึงแอพของกูเกิลมาใช้งานอย่างสะดวก

ข้อจำกัด

- ไตเติ้ลบาร์สั้น
- เข้าเว็บสถาบันการเงิน ไม่ได้เช่นเดียวกับFireFox
- ยังซัพพอร์ตภาษาไทยได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- การลบตัวอักษร ถ้าคำที่มีสระอยู่ด้วยมันจะลบไปหมด



Opera

ข้อดี

- เร็วกว่า IE Chrome FireFox
- รูปลักษณ์สวย
- ใช้หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์น้อยกว่า IE แต่ก็ยังมากกว่า Chrome
- มี download manager ในตัว
- ซัพพอร์ต HTML CSS

ข้อจำกัด

- ลูกเล่นน้อย บางหน้าเว็บแสดงผลเพี้ยน
- เวลาเปิด บางทีช้ากว่าเบราเซอร์อื่น ๆ
- ไม่ซัพพอร์ตเว็บที่เป็นไออีเท่านั้น เช่น เว็บของสถาบันการเงินต่างๆ



Safari

ข้อดี


- โหลดหน้าเว็บเร็วมาก
- เล่น javascript เร็วกว่าเบราเซอร์อื่นๆ
- รองรับ CSS Animation ซึ่งเบราเซอร์อื่นไม่รองรับ
- รองรับ CSS Web Font
- สแกนข้อมูลได้รวดเร็ว
- ไวรัส สปายแวร์ต่าง ๆ ซาฟารีกำจัดได้ดีกว่าIE และ Firefox

ข้อจำกัด

- ลุกเล่นยังไม่ค่อยเยอะ โดยรวมแล้วไม่สู้ Firefox
- มีปัญหาด้านภาษาไทยเหมือน Chrome
- กินทรัพยากรของคอมพิวเตอร์คุณค่อนข้างเยอะพอ ๆ กับ IE
- ฟ้อนต์เพี้ยนเยอะมาก


ที่มา

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ความฝันของผม



Pongsakorn Chawrad


brithday: 27 May 1999






My dream




NAVY SEAL

ปลาฉลาม สีขาวหรือสีน้ำเงิน หมายถึงจ้าวแห่งท้องทะเล ดุร้าย น่าเกรงขาม สง่างาม แข็งแกร่ง
คลื่น หมายถึง ความน่ากลัวของทะเลที่มีเกลียวคลื่นตลอดเวลา หรืออุปสรรคของคลื่นหัวแตก แต่ฉลามก็ไม่ได้หวั่นเกรง
สมอเรือ หมายถึง ทหารเรือ ในอดีตหลักสูตรจะรับเฉพาะทหารเรือเท่านั้น แต่ในปัจจุบันทางหน่วยได้รับทหารบก ทหารอากาศ และตำรวจเพิ่มด้วย
ธงชาติ หมายถึง การยอมพลีเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์


สวัสดีครับนี้คือเครื่องหมายในฝันของผมเมื่อโตขึ้น แต่ทว่าการที่จะสามารถจบหลักสูตรนี้จำจะต้องเป็นจะต้องเป็นทหารก่อนเรื่องนั้นเป็นเรื่องของอนาคตแต่ผมจะมาแนะนำหลักสูตรนี้ซะก่อนนะครับ


หน่วยทำลายใต้น้ำจู่โจม หรือ ซีล เป็นหน่วยหนึ่งในหน่วยปฏิบัติการสงครามพิเศษทางเรือ กองทัพเรือไทย ซึ่งนับเป็นหน่วยที่ได้รับการฝึกที่หนักที่สุดในบรรดาหน่วยรบพิเศษของทุกเหล่าทัพ การฝึกในหลักสูตรนักทำลายใต้น้ำจู่โจม ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-8 เดือน นับเป็นการฝึกหลักสูตรทางทหารที่มีระยะเวลานานที่สุดของไทย แบ่งออกเป็น 5 ช่วง ได้แก่ การแนะนำการฝึกเบื้องต้น ฝึกการออกกำลังกายและการฝ่าอุปสรรคต่างๆ ใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ การฝึกจริง ใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ การฝึกแบบเข้มข้น หรือเรียกว่า "สัปดาห์นรก" ใช้เวลา 120 ชั่วโมง โดยไม่มีการหยุดพักการฝึกสอนยุทธวิธีต่างๆ การฝึกยุทธวิธีในสภาพจริง ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน


และนี้คือภาพส่วนหนึ่งของการฝึกของ มนุษย์กบครับ