วันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ใบงานเรื่อง โครงงานคอมพิวเตอร์


โครงงานคอมพิวเตอร์


1.โครงงานคอมพิวเตอร์หมายถึงอะไร?


        หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

2.ประโยชน์ของการทำโครงงานคอมพิวเตร์?


         การทำโครงงานคอมพิวเตอร์และการจัดงานแสดงโครงงานจะมีคุณค่าต่อการฝึกฝนให้นักเรียนมีความรู้ ความชำนาญ และมีความมั่นใจในการนำระบบคอมพิวเตอร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้นหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ ด้วยตนเองและยังมีคุณค่าอื่น ๆ อีกดังต่อไปนี้
1. สร้างความสำนึกและความรับผิดชอบในการศึกษาและพัฒนาระบบด้วยตนเอง
2. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาและแสดงความสามารถตามศักยภาพของตนเอง
3. เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษา ค้นคว้า และเรียนรู้ในเรื่องที่นักเรียนสนใจได้ลึกซึ้งกว่าการเรียนในห้องตามปกติ
4. ส่งเสริมและพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ รวมทั้งการสื่อสารระหว่างกัน
5. กระตุ้นให้นักเรียนมีความสนใจในการเรียนวิชาสาขาคอมพิวเตอร์ และมีความสนใจที่จะประกอบอาชีพทางด้านนี้
6. ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เวลาอย่างเป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์
7. สร้างความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนกับครูและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนสนใจคอมพิว เตอร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
8. เป็นการบูรณาการเอาความรู้จากวิชาต่าง ๆ ที่ได้รับมาจัดทำผสมผสานกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์เป็นโครงงานเพื่อนำเสนอต่อชุมชน
การจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์นั้น นักเรียนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เหตุผลที่ใช้ในการแก้ปัญหา กระบวนการแก้ปัญหา หลักการเขียนโปรแกรมเบื้องต้น และการแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์ ก่อนที่จะเริ่มทำโครงงาน และใช้ความรู้ดังกล่าวเป็นพื้นฐานในการสร้างความรู้ใหม่ในโครงงานคอมพิวเตอร์ โดยในการทำโครงงานนักเรียนอาจจะมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับความรู้ใหม่เพิ่มเติมอีกด้วย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ฐานข้อมูล (Database) และการสืบค้นข้อมูล (Information Retrieval) เป็นต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับหัวข้อที่นักเรียนเลือกทำโครงงาน

3.โครงงานคอมพิวเตอร์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง?


         ประเภทของโครงงาน แบ่งได้เป็น 5 ประเภท

1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา เช่น โครงงานเกี่ยวกับการพัฒนาเว็บไซต์

2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ เป็นโครงงานที่สร้างเครื่องมือ ใช้สร้างงาน ส่วนใหญืจะอยู่ในรูปของซอฟต์แวร์ เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป

3. โครงงานประเภทการทดลองทฤษฎี เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่างๆ

4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน สร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน

5. โครงงานพัฒนาเกม เพื่อความรู้ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมารุก

ตัวอย่างโครงงานคอมพิวเตอร์

การพัฒนาเว็บบล็อก (Webb log) ด้วย Word press เรื่อง ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์



แหล่งที่มา

http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content1.html
https://banh01.wordpress.com

วันพฤหัสบดีที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ใบงานเรื่อง การใช้ IT ในทางที่ดี/ไม่ดี


หมู่บ้านในประเทศสวิส ที่เคยสั่งห้ามการถ่ายรูป กลับมาอนุญาตให้ถ่ายรูปได้แล้ว แต่มีข้อแม้...




หลังจากหมู่บ้าน Bergün ในประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ ที่มีการห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวทำการถ่ายภาพวิวสวยๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง


ซึ่งข่าวนั้นกลายเป็นกระแส Viral ไปตามความคาดหมาย เพราะผู้คนคงจะรู้สึกแปลกใจว่า เมืองท่องเที่ยวที่มีวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติอันแสนสวยงามแบบนี้ ทำไมถึงห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ ซึ่งเหตุผลที่ชาวเมืองออกมารวมตัวกัน เพื่อห้ามการถ่ายภาพในครั้งนั้น ก็คือ ไม่ต้องการให้ใครได้เห็นภาพถ่ายสวยๆ แล้วเกิดความอิจฉา หรือเกิดความทุกข์ใจ ที่ไม่ได้ไปเที่ยวหมู่บ้านแห่งนี้...

แต่มาในคราวนี้ ต้องบอกว่าเป็นเหตุการณ์กลับกลายเป็นอีกแบบ เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านแห่ง Bergün คุณ Peter Nicolay ต้องจัดทำคลิปออกมาแถลงการณ์ด้วยตัวเอง เขาบอกว่า ถึงแม้จะมีการห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวทำการถ่ายภาพใดๆ ในเมืองนี้ แต่ดูเหมือนข้อห้ามจะไม่เป็นผล เพราะยังพบว่านักท่องเที่ยวมีการแอบถ่ายภาพวิวสวยๆ ของเมืองนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง ก็ในเมื่อห้ามไม่ได้ หมู่บ้าน Bergün แห่งประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ เลยขอออกกฎใหม่ โดยต่อไปนี้ นักท่องเที่ยวที่มีกล้องติดตัว จะได้รับการอนุญาตเป็นพิเศษ ให้สามารถถ่ายภาพได้ แต่การนำภาพไปโพสต์ลงสื่อโซเชียล ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ไม้ให้คนที่ได้เห็นภาพต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ไม่ได้ไปเที่ยวหมู่บ้านแห่งนี้


ผมรู้สึกเห็นด้วย เพราะการถ่ายรูปเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่การเผยแพร่ก็จะต้องคำนึงความรู้สึกของผู้อื่นว่าจะกระทบกับเขาในรูปแบบใด

อ้างอิง : https://news.thaiware.com/10521.html

วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่1 เรื่องภาษา c


ใบงานที่ 1 เรื่องภาษา ซี

ภาษา ซี คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์


      C หรือ C Language (ภาษาซี) คือ ซึ่งเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับพัฒนาโปรแกรมทั่วไป ถูกพัฒนาโดยเดนนิส ริสชี่ (Dennis Ritchie) เมื่อประมาณต้นปีค.ศ. 1970 เพื่อใช้งานบนระบบปฏิบัติการยูนิกส์ แทนภาษาแอสเซมบลี ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำที่สามารถกระทำในระบบฮาร์ดแวร์ได้ด้วยความรวดเร็ว แต่จุดอ่อนของภาษาแอซเซมบลีก็คือความยุ่งยากในการโปรแกรม ความเป็นเฉพาะตัว และความแตกต่างกันไปในแต่ละเครื่อง ต่อมาถูกนำไปใช้ในระบบปฏิบัติการต่าง ๆ จนถูกใช้เป็นภาษาพื้นฐานสำหรับภาษาอื่น เช่น ภาษาจาวา Java ภาษาพีเอชพี (PHP) ภาษาซีชาร์ป C# ภาษาซีพลัสพลัส C++ ภาษาเพิร์ล (Perl) ภาษาไพทอล (Python) หรือภาษารูบี้ (Ruby) ภาษาซีเป็นภาษาเขียนโปรแกรมระบบเชิงคำสั่ง (หรือเชิงกระบวนงาน) ถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้แปลด้วยตัวแปลโปรแกรมแบบการเชื่อมโยงที่ตรงไปตรงมา สามารถเข้าถึงหน่วยความจำในระดับล่าง ภาษา C แม้จะเป็นภาษาระดับสูง แต่ก็สามารถใช้เป็นภาษาเครื่องได้เป็นอย่างดี


โครงสร้างภาษา ซี


         คำสั่งที่ใช้งานในภาษา C นั้นล้วนเป็นฟังก์ชั่นทั้งสิ้น ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนขึ้นจึงประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นมากมาย ที่ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งในลักษณะของโมดูลย่อย เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมาย และในเมื่อภาษา C คือภาษาที่ประกอบไปด้วยฟังก์ชั่น ดังนั้นจึงจำเป็นทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของฟังก์ชั่นเสียก่อน

         ฟังก์ชั่น (Function) คือ ชุดคำสั่งที่เขียนขึ้นเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ที่อนุญาตให้สามารถรับข้อมูล (Input) ประมวลผล (Processes) และแสดงผลข้อมูล (Output) โดยฟังก์ชั่นที่ถูกเขียนขึ้นใช้งาน และสามารถเรียกมาใช้งานได้ทันที จะถูกจัดเก็บไว้ในไลบารีมาตรฐาน (Standard Library) ในขณะที่ฟังก์ชั่นอื่นๆจะเป็นฟังก์ชั่นที่ถูกเขียนขึ้นโดยโปรแกรมเมอร์ อย่างไรก็ตามในภาษา C จะมีฟังก์ชั่นพิเศษฟังก์ชั่นหนึ่งที่จำเป็นต้องมีไว้ในโปรแกรมเสมอ คือ ฟังก์ชั่น main() ทั้งนี้ฟังก์ชั่นดังกล่าวจัดเป็นฟังก์ชั่นหลักที่นำมาใช้เป็นจุดเริ่มต้นของโปรแกรมเพื่อสั่งให้ทำงาน โดยฟังก์ชั่นอื่นๆจะถือเป็นรูทีนย่อย (Subroutines)


 โครงสร้างของโปรแกรมภาษา C สามารถแบ่งเป็นส่วนสำคัญต่างๆ ดังนี้ คือ

            1.พรีโปรเชสเชอร์ไดเรคทีฟ (Pre-processor Directive) 
                    ส่วนหัวของโปรแกรม(Header File)เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของภาษา C เป็นส่วนที่บอกให้คอม                ไพล์เลอร์รับทราบว่า ให้นำไฟล์ส่วนดังกล่าวมาคอมไพล์ร่วมด้วยดังตัวอย่างเฮดเดอร์ไฟล์ คือ  #include               <stdio.h> โดยชื่อเฮดเดอร์ไฟล์ที่ผนวกเข้ามาสามารถเขียนอยู่ภายในเครื่องหมาย <  > หรือ "   " ก็ได้
             เฮดเดอร์ไฟล์เป็นไฟล์ชนิดข้อความ (Text File) ที่ภายในโปรแกรมจะมีการประกาศค่าตัวแปร และค่า
             คงที่ต่างๆ ซึ่งจะบรรจุฟังก์ชั่นมาตรฐานต่างๆ รวมเข้าด้วยกันตามลักษณะงานที่ใช้ และเก็บลงในไลบารี                 โดยจำถูกนำมาอ่านรวมกันกับชุดคำสั่งขณะทำการคอมไพล์เลอร์
             เฮดเดอร์ไฟล์ที่เรานิยมใช้บ่อยมีอยู่ 2 เฮดเดอร์ คือ stdio.h  และ  conio.h
                        stdio.h เป็นเฮดเดอร์ที่เกี่ยวข้องกับฟังชั่นอินพุตและเอาต์พุต Input and Output) เช่น 
                               ฟังก์ชั่น printf( ) , scanf ( )
                      
conio.h เป็นเฮดเดอร์ที่เกี่ยวกับฟังก์ชั่น รอรับคำสั่ง เช่น getch ( )
             ความหมายของพรีโปรเชสเชอร์ก็คือ "ตัวประมวลผลก่อน" ชึ่งจะต้องถูกกำหนดไว้นอกฟังก์ชั่นเสมอ
             โดยส่วนนี้จะได้รับการประมวลผลก่อนชุดคำสั่งภายในฟังชั่น จึงเป็นที่มาของพรีโปรเชสเชอร์นั่นเอง การ                เขียนจะต้องนำหน้าด้วยเครื่องหมาย # เสมอ อย่างไรก็ตามพรีโปรเชสเชอร์จะมีอยู่หลายตัวด้วยกัน เช่น
                    #if                    #ifdef                #ifndef                #else                #elif                #endif                      
                    #include           #define            #undef                 #line                #error             #pragma

            2. ฟังก็ชั่นหลัก (Main Function)
                    ฟังก็ชั่น main( ) ในภาษา C จัดเป็นฟังก็ชั่นที่ทำหน้าเสมือนกับเป็นโปรแกรมหลักที่สั่งให้ชุดคำสั่ง                ทำงานรวมถึงการเรียกใช้ฟังก์ชั่นย่อยๆอื่นทำงาน กล่าวคือการสั่งงานในโปรแกรมจะอยู่ภายในฟังก์ชั่น                 main ( ) นั่นเอง

            3. ประโยคคำสั่ง (Compound Statement)
                    เป็นชุดคำสั่งที่บรรจุอยู่ในฟังชั่นนั่นๆ ซึ่งอาจจะเป็น
                        - ประโยคที่ใช้สำหรับประกาศตัวแปร (Variable) หรือการกำหนดค่าเริ่มต้นให้กับตัวแปรต่างๆ
                            โดยตัวแปรที่ใช้งานในโปรแกรม จำเป็นต้องได้รับการประกาศชนิดข้อมูลของตัวแปรนั้นๆด้วย
                        - ประโยคนิพจน์คณิตศาสตร์ เช่น ประโยคคำนวณตัวเลขต่างๆ
                        - ประโยคคำสั่งควบคุมอื่นๆ เช่น คำสั่งควบคุมวงจรลูป คำสั่งควบคุมเงื่อนไข เป็นต้น

            4. คำอธิบายภายในโปรแกรม (Program Comment)
                    คำอธิบายโปรแกรม เป็นส่วนที่ผู้เขียนโปรแกรมนำมาใช้อธิบายจุดสำคัญต่างๆ ภายในโปรแกรม
                    เช่น ใช้อธิบายจุดประสงค์ของโปรแกรมส่วนนั้นๆ รวมถึงการป้องการหลงลืม กรณีที่ต้องกลับมา                            ปรับปรุงโปรแกรมใหม่ รูปแบบการเขียนคำอธิบายในภาษา C
                        /*คำอธิบาย*/    หรือ  //คำอธิบาย  เช่น    /*comment*/   หรือ  //comment

                อักขระในภาษา C (C Character Sets)
                        ภาษา C ได้เตรียมกลุ่มอักขระต่างๆ ให้ใช้งานที่เรียกว่า Character Sets โดยแบ่งออกเป็น  2                     กลุ่มใหญ่ๆ คือ Basic Character set และ Execution Character set

            1. Basic Character set ประกอบด้วยกลุ่มอักขระ ดังต่อไปนี้ 
                    - อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ (Alphabets Upper Case) ประกอบด้วยอักษร A-Z จำนวน 26 ตัว ดังนี้
                            A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y Z
                    - อักษรตัวพิมพ์เล็ก (Alphabets Lower Case) ประกอบด้วยอักษร a-z จำนวน 26 ตัว ดังนี้
                            a b c d e f g h i j k l m n o p q r s t u v w x y z
                    - ตัวเลข (Decimal Digits) ประกอบไปด้วยตัวเลข 0 - 9 จำนวน 10 ตัว ดังนี้
                            0 1 2 3 4 5 6 7 8 9
                    - ตัวอักขระแบบกราฟิก ประกอบด้วยสัญลักษณ์ต่างๆ จำนวน 29 ตัว ดังนี้
                            ,    (comma)                                (    (left parenthesis)                            ;    (semicolon)                            )    (right parenthesis)
                            .    (period)                                  [    (left bracket)
                            ?   (question mark)                     ]    (right bracket)
                            !    (exclamation)                        {    (left brace)
                            :    (colon)                                   }    (right brace)
                            +   (plus)                                     <   (less than)
                            -    (minus)                                  >   (greater than)
                            *    (asterisk)                               =   (equal sign)
                            /    (slash)                                   &   (ampersand)
                            \    (backslash)                            %  (percent sign)

                           |    (vertical bar)                          #   (number sign)
                            '    (single quote)                         ^   (caret)
                            "   (double quote)                        _   (under score)
                            ~    (tild)                                       

                    -ตัวอักขระแบบช่องว่าง (White space Character ประกอบด้วยอักขระที่เป็นช่องว่างในลักษณะ
                     ต่างๆ จำนวน 5 ตัว ดังนี้
                                blank space, horizontal tab, vertical tab, newline, form feed

            2. Execution Character set  ประกอบด้วยกลุ่มอักขระ ดังต่อไปนี้
                    -อักขระที่เป็นค่าว่าง (Null Character) อักขระที่เป็นค่าว่าง หรือค่า Null จะใช้สัญลักษณ์ \0
                    -อักขระควบคุม (Escape Sequence)เป็นรหัสที่ใช้ควบคุมการแสดงผลทางจอภาพและเครื่องพิมพ์
                        ประกอบด้วย :
                                                    \a        alert (bell)                       \\        backslash
                                                    \b        backspace                      \?       backslash
                                                    \f         form feed                        \'        single quote
                                                    \n        new line                          \"        double quote
                                                    \r        carriage return                 \ooo   octal number
                                                    \t        horizontal tab                  \xhh    hexadecimal number
                                                    \v        vertical tab      


ตัวอย่าง


         ตัวอย่างโค้ดโปรแกรมภาษาซีในการคำนวณหาพื้นที่วงกลม ตัวอย่างนี้จะเรียกใช้งานค่า π (พาย หรือ pi) จาก math.h
สูตรการหาพื้นที่วงกลม


พื้นที่วงกลม = พาย x รัศมี2
จะได้ A = π r2

การทำงานของโปรแกรม

เริ่มต้นจะให้กรอกค่ารัศมี (Radius) เพื่อนำไปคำนวณหาพื้นที่วงกลมตามสูตร A = π r2 แล้วนำค่าที่คำนวณได้แสดงผล


ตัวอย่างโค้ด

อธิบายเพิ่มเติม

1. #include<math.h> เพื่อเรียกใช้งานค่าคงที่ของพาย (M_PI) ซึ่งไม่ได้ระบุค่าเอง ซึ่งมีค่าประมาณ 3.14159265358979323846 หรือ สามารถกำหนดเอง แล้วนำไปแทนตรง M_PI ได้

2. r คือ ตัวแปรที่ใช้เก็บค่ารัศมีที่กรอกเข้ามา

3. r * r คือ รัศมี ยกกำลัง 2


ผลลัพธ์










อ้างอิง
http://www.mindphp.com/
http://www.comscidev.com/

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ใบงานเรื่อง ลักษณะของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแต่ละประเภท

ใบงานเรื่อง ลักษณะของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแต่ละประเภท



1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up


         เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เคยได้รับความนิยมในยุคแรก ๆ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บุคคล กับสายโทรศัพท์บ้านที่เป็นสายตรงต่อเชื่อมเข้ากับโมเด็ม (Modem) ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตต้องทำการติดต่อกับผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านหมายเลขโทรศัพท์บ้าน โดยผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะกำหนดชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) มาให้เพื่อเข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ต

ข้อดี ของการเชื่อมต่อแบบ Dial Up คือ

  -อุปกรณ์มีราคาถูก
  -การติดตั้งง่าย
  -การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทำได้ง่าย

ข้อเสีย ของการเชื่อมต่อแบบ Dial Up คือ

  -อัตราการรับส่งข้อมูลค่อนข้างต่ำเพียงไม่เกิน 56 kbit (กิโลบิต) ต่อวินาที






2. การเชื่อมต่อแบบ ISDN(Internet Services Digital Network)


         เป็นการเชื่อมต่อที่คล้ายกับแบบ Dial Up เพราะต้องใช้โทรศัพท์และโมเด็มในการเชื่อมต่อ ต่างกันตรงที่ระบบโทรศัพท์เป็นระบบความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอล (Digital) และต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ISDN จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ คือ

-ต้องติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ที่ให้บริการการเชื่อมต่อแบบ ISDN

-การเชื่อมต่อต้องใช้ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ

-ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่จะใช้บริการนี้ อยู่ในอาณาเขตที่ใช้บริการ ISDN ได้หรือไม่

ข้อดี คือ

-ไม่มีสัญญาณรบกวน มีความเร็วสูง และยังคงสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อพูดคุยไปได้พร้อม ๆ กับการเล่น     อินเตอร์เน็ต

ข้อเสีย คือ

-มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบ Dial-Up




3. การเชื่อมต่อแบบ ISDN(Internet Services Digital Network)


         เป็นการเชื่อมต่อที่คล้ายกับแบบ Dial Up เพราะต้องใช้โทรศัพท์และโมเด็มในการเชื่อมต่อ ต่างกันตรงที่ระบบโทรศัพท์เป็นระบบความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอล (Digital) และต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ISDN จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ คือ

-ต้องติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ที่ให้บริการการเชื่อมต่อแบบ ISDN

-การเชื่อมต่อต้องใช้ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ

-ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่จะใช้บริการนี้ อยู่ในอาณาเขตที่ใช้บริการ ISDN ได้หรือไม่

ข้อดี คือ

-ไม่มีสัญญาณรบกวน มีความเร็วสูง และยังคงสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อพูดคุยไปได้พร้อม ๆ กับการเล่นอินเตอร์เน็ต 

ข้อเสีย คือ

-มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบ Dial-Up





4. การเชื่อมต่อแบบ Cable


         เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านสายสื่อสารเดียวกับ Cable TV จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อม ๆ กับการดูทีวีได้ โดยต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ

-ใช้ Cable Modem เพื่อเชื่อมต่อ

-ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย

ข้อดี คือ

-ถ้ามีสายเคเบิลทีวีอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยเพิ่มอุปกรณ์ Cable Modem ก็สามารถ      เชื่อมต่อได้

ข้อเสีย คือ

-ถ้ามีผู้ใช้เคเบิลในบริเวณใกล้เคียงมาก อาจทำให้การรับส่งข้อมูลช้าลง



5. การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites)


         เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า Direct Broadcast Satellites หรือ DBS โดยผู้ใช้ต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ

-จานดาวเทียมขนาด 18-21 นิ้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณจากดาวเทียม

-ใช้ Modem เพื่อเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต

ข้อเสีย ของการเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) ได้แก่

-ต้องส่งผ่านสายโทรศัพท์เหมือนแบบอื่น ๆ
-ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำมากเมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ
-ค่าใช้จ่ายสูง


อุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์


วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต



การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต





เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านสาย USB


1.อุปกรณ์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
   ตอบ 1.โทรศัพท์มือถือ
            2.สาย USB

2.ขั้นตอนในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
   ตอบ 1.เสียสาย USB
            2.ตั้งค่า
            3.เพิ่มเติม
            4.การปล่อยสัญญาณและฮอตสปอต
            5.ปล่อยสัญญาณผ่าน USB